บ้านในฝัน : THE GENTRY CULTIVAR RAMA 9
Facebook Twitter Email
นิยามคำว่า “บ้าน” ของคุณเป็นแบบไหน ?

แน่นอนว่าสำหรับหลายคนบ้านคงไม่ได้หมายถึงแค่สถานที่ แต่เป็นสิ่งที่นิยามได้แตกต่างกันไป

...สำหรับบางคน บ้าน คือ ครอบครัว
...สำหรับบางคน บ้าน คือ เพื่อน
...สำหรับบางคน บ้าน คือ สิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตน

เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกที่เราจะต้อง “เลือกบ้าน” ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ “บ้าน” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเช่นเดียวกัน



          วันนี้ inside2home จึงขอพามารู้จักกับ The Gentry แบรนด์ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว จากบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) วิลล่าหรู 3 ชั้น ที่โอบล้อมคุณด้วยบรรยากาศแห่งการใช้ชีวิตหรูในรอบด้าน
          และสรรสร้างให้เมืองและธรรมชาติกลายเป็นหนึ่งเดียว มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดผ่านวิลล่าหรู 3 ชั้น รวมถึงยังเข้าใจการใช้ชีวิตของทุก Generations ตอบสนองในทุกไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ท่ามกลางใจกลาง แต่ก็สามารถพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติอย่างสงบ โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ต้นไม้กระจก แสง เงา เป็นหนึ่งเดียวกัน สังคมเล็ก ๆ ที่เป็นส่วนตัวสูงสุด



 
‘URBAN SANCTUARY’
Nature Nurture Future | A City in Nature



 
          สำหรับแนวคิดสำคัญคือการที่สถาปัตยกรรมถูกหล่อหลอมให้รวมกับธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สะท้อนผ่านไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่พิถีพิถันเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด และเป็นอนาคตที่ยั่งยืน
          โดยเมื่อเรารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทัศนคติ และโลกทัศน์ของเราที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไป ผ่านการบำบัดด้วยการอาบป่าและการดื่มด่ำกับธรรมชาติ
แม้ปัจจุบันโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นเมืองเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีเราได้ใช้เวลากับธรรมชาติน้อยลง แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการสะกิดให้เราหยุดพัก เดินให้ช้าลง เพื่อมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
          และเมื่อเมืองยิ่งขยายตัวมากขึ้น พื้นที่ของธรรมชาติน้อยลง A City in Nature หรือ “ป่าล้อมเมือง” จึงถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหานี้ เพื่อให้ธรรมชาติ คนและเมือง อยู่ร่วมกันได้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โครงการ The Gentry จึงนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ ด้วยการใช้ “ธรรมชาติล้อมบ้าน” เพื่อให้ “คน” ได้อยู่บ้านท่ามกลางธรรมชาติใจกลางเมือง

 
THE GENTRY CULTIVE RAMA 9



          วันนี้จะพามาชมโครงการสุดหรู ที่เป็นหนึ่งในโครงการ แบรนด์ The Gentry ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน ภาพและบรรยากาศส่งผ่านโครงการ ‘The Gentry Cultiver Rama 9’ โครงการทำเลดี สุดไพรเวทเพียง 15 ยูนิต
          เราพาชมแบบบ้านที่มีชื่อว่า Haven ที่สะท้อนถึงความใกล้ชิดธรรมชาติได้อย่างดีมาก ดีไซน์ที่ทันสมัย เพิ่ม Volume ให้กับพื้นที่ใช้สอย และการออกแบบ Facade ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Singapore pavilion ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิดโครงการ
          เส้นสายและซี่ระแนงทำจากอะลูมิเนียมสีทอง เป็นแบบ Shading Effect มีการเล่นระดับของเส้นระแนงหน้าบ้าน เมื่อมีแสงตกกระทบก็จะช่วยเพิ่มแสงและเงา เป็นลายเส้นพาดผ่านหน้าบ้านทำให้บ้านดูมีมิติขึ้นมาอีกระดับ รวมถึงช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับบ้าน แผ่นกระเบื้องหน้าบ้านขนาดใหญ่เลียนแบบผิวสัมผัสคล้ายหิน ใช้เป็นโทนสีเทา - น้ำตาลเข้ม
          แม้ว่าสไตล์บ้านจะสื่อออกมาทางโมเดิร์น แต่ดีไซน์บวกกับโทนสีที่เน้นแนวทางของสัจจะวัสดุ เป็นความสวยงามที่แอบซ่อนความคลาสสิกเอาไว้ เป็น Timeless Design ที่ไม่ว่าจะผ่านยุคสมัยใดก็ยังดูโดดเด่น ไม่เชย ไม่น่าเบื่อ



          การเลือกใช้ประตูหน้าบ้านเป็นไม้สักแท้ขนาดใหญ่ ความสูง 2.8 เมตร ยังสะท้อนรสนิยมและบ่งบอกฐานะของผู้อยู่อาศัย มีการติดตั้ง Digital Door Lock เพื่อความสบายและปลอดภัย ความคอนทราสต์ของวัสดุไม่ได้ทำให้มูดแอนด์โทนขัดกัน แต่ยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยสีน้ำตาลเข้ม สีน้ำตาลอ่อน สีเทาเข้มและสีเทาอ่อน ดูกลมกลืนกับธรรมชาติรอบ ๆ บ้าน



          บริเวณลานจอดรถหน้าบ้านเป็นคอนกรีตแสตมป์เหมือนหินธรรมชาติ และเลือกใช้ระแนงอะลูมิเนียมสีทองเป็นฉากกั้นระหว่าง ลานจอดรถและพื้นที่ส่วนตัว



          บริเวณด้านข้างบ้านถูกเว้นไว้เป็น Courtyard พื้นที่ขนาดใหญ่ เอาไว้เพื่อทำเป็นที่นั่งเล่นแบบ Outdoor ล้อมรอบด้วยสวน สามารถที่จะปลูกต้นไม้สูง ยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่กลางป่าในบ้านของตัวเอง



          อีกหนึ่งการออกแบบที่น่าสนใจคือกระจกบานใหญ่ความสูงจากพื้นจรดเพดานของชั้น 1 เชื่อมต่ออกมาที่สวนข้างบ้านบริเวณนี้ ทำให้คนในบ้านรู้สึกถึงการเชื่อมต่อกัน ไม่รู้สึกถึงการปิดกั้นกันระหว่างในบ้านกับนอกบ้าน และกระจกบานใหญ่นี้ก็เป็นตัวช่วยอย่างดีในการดึง “แสงธรรมชาติ” เข้าบ้าน ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการออกแบบบ้านหลังนี้



          เข้ามาที่ตัวบ้านจะพบ Foyer หรือโถงต้อนรับหน้าบ้านถูกทำให้มีระยะห่างจากโถงหลักของบ้านพอสมควร เพื่อให้คนในบ้านรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวสูงสุด และเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของบ้านก่อนที่จะเชื่อมไปยังส่วนต่าง ๆ ของบ้าน หรือจะเรียกว่าเป็นจุดเบรคอารมณ์ต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ภายนอกสู่ภายในบ้าน



          โถงกลางของบ้านถูกออกแบบให้มีความโปร่งที่สุด รับแสงมากที่สุด และมีเพดานสูงที่สุดในบ้าน การตกแต่งภายในโถงนั่งเล่นนี้ ใช้เป็นคู่สีขาวงาช้างและสีน้ำเงินเข้ม รวมกับ Chandelier สไตล์โมเดิร์นแสงส้ม ยิ่งทำให้โถงกลางนี้ให้ความรู้สึกหรูหราควบคู่ไปกับความสุขุมพร้อม ๆ กัน



          กระจกบานใหญ่จรดเพดานทำให้บริเวณนี้สามารถมองทะลุออกไปยังสวนข้างบ้านได้ ให้คุณได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม และช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้าตัวบ้าน เมื่อมีแสงพาดผ่านเข้ามาจะยิ่งทำให้บริเวณนี้ดูมีความหรูหรามากขึ้นไปอีก




          การจัดวางแปลนบ้านเป็นแบบ Open Plan ทำให้เราสามารถจัดวางพื้นที่นั่งเล่นหรือกั้นห้องเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งห้อง ซึ่งมีการใช้ “กระจก” เข้ามาเป็นตัวเชื่อมบ้านและห้องกับพื้นที่สวนด้านนอก เหตุผลที่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้คนในบ้านได้ใช้เวลาในบ้าน พักผ่อนสายตากับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว กระจกที่ถูกนำมาใช้เป็นกระจกสีเขียวตัดแสง แม้จะเป็นผนังกระจกเกือบทั้งหมดก็ไม่ทำให้รู้สึกร้อนและยังคงดึงแสงธรรมชาติเข้ามาได้อย่างเต็มที่



          เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งใช้เป็นโทนสีเดียวกับโถงนั่งเล่นหลัก เพื่อให้รู้สึกถึงความเชื่อมต่อกัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่บ้านหลังนี้ไม่ได้กั้นห้องอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก เพราะ ต้องการให้อิสระกับคนในบ้านในการจัดวางพื้นที่ต่าง ๆ ของบ้านได้ตามที่ต้องการ



          พื้นที่ที่อยู่ด้านหลังโถงนั่งเล่นหลักสามารถจัดวางเป็นโต๊ะรับประทานอาหารได้ โดยจะอยู่ใกล้กับห้องครัวและห้องน้ำของชั้นล่างเพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน



          สำหรับบริเวณชั้นแรกของบ้าน ให้ความสำคัญกับเรื่องของการเล่นแสงและเงาเป็นพิเศษ ด้วยการใช้กระจกบานใหญ่จรดเพดานเป็นผนังด้านที่อยู่ติดกับสวนทั้งหมด เพื่อดึงแสงธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้านให้ได้มากที่สุด หากสังเกตการวางแปลนดี ๆ ก็จะเห็นว่าบ้านหลังนี้ตกแต่งด้วยการวาง โถงนั่งเล่นหลัก พื้นที่นั่งเล่นรองและพื้นที่รับประทานอาหาร เอาไว้ในด้านที่อยู่ใกล้กับกระจก เพื่อให้คนที่ในบ้านสามารถรับแสงธรรมชาติและดื่มด่ำกับวิวสวนสีเขียวได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของบ้านก็ตาม


          
          บ้านหลังนี้เป็นบ้าน 3 ชั้น จึงออกแบบมาให้มีลิฟต์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุ ผู้ใช้ Wheelchairs และผู้ที่ไม่สะดวกเดินขึ้นลงบันไดซึ่งถือว่าเป็นความใส่ใจในการออกแบบบ้านหลังนี้ เพื่อให้คนทุก Generation สามารถอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวได้



          โถงลิฟต์ถูกตกแต่งด้วย Wallpaper ลายไม้สีน้ำตาลเข้ม ให้ความรู้สึกสุขุมและเรียบร้อยในเวลาเดียวกัน



          ห้องนอนใหญ่ของบ้านถูกจัดวางไว้ที่ชั้นสอง คลอบคลุมพื้นที่ฝั่งหน้าบ้านทั้งหมด ซึ่งผนังห้องหันหนังบ้านทั้งหมดถูกใช้เป็นผนังกระจกเพื่อดึงแสงธรรมชาติเข้าสู่ห้อง โดยมีระแนงที่ทำจากอะลูมิเนียมสีทองเป็นหน้ากากซ้อนอีกทีหนึ่ง และเมื่อมีแสงสาดเข้ามาในห้องจะทำให้เกิดเงาลายเส้นที่ช่วยสร้างบรรยากาศในห้องได้เป็นอย่างดี



          โดยจะเชื่อมต่อกับ Walk-in Closet และโต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับห้องน้ำขนาดใหญ่ในตัว ตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของทั้งหมดใช้เป็นกระจกสีชาเพื่อให้รู้สึกอึดอัด ทุกพื้นที่ในห้องสามารถมองเห็นกันได้ แต่ก็ยังคงมีความเป็นส่วนตัวอยู่



          ทางเดินก่อนไปห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่อยู่อีกฝั่ง จะสามารถมองเห็นโถงหลักกลางบ้านได้ เพราะเป็น Double Volume และจากทางเดินนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถมองเห็นสวนข้างบ้านได้ด้วย การออกแบบแบบนี้ทำให้ไม่ว่าคุณจะอยู่ชั้นไหนของบ้าน คุณก็สามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้เช่นเดียวกัน




          เดินผ่านโถงทางเดินทางกลางบ้านมาจะเจอกับห้องนอนอีกห้องหนึ่ง ซึ่งมี Balcony ที่สามารถจัดสวนและวางโซฟานั่งเล่นแบบจริงจัง ๆ โดยที่ยังมีธรรมชาติรายล้อมอยู่รอบตัว เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวอยู่ทุก ๆ จุดในบ้าน



          พื้นที่ชั้น 1 จะมีห้องนอน 2 ห้อง เพื่อให้พื้นที่กับห้องนอนใหญ่ให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้การจัดวางแปลนดูอึดอัดเกินไป เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลมพัดผ่านเข้า - ออกบ้านอยู่ตลอด จุดเด่นของชั้นนี้คือทางเดินกลางบ้านที่สามารถมองเห็นโถงนั่งเล่นหลักกลางบ้าน รวมถึงสวนส่วนตัวนอกบ้านได้อีกด้วย



          ห้องนอนของชั้นบนสุดมีพื้นที่ใกล้เคียงกับห้องนอนใหญ่ จะให้ความสำคัญมีการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ให้กับ Balcony มาเป็นพิเศษ ห้องนอนนี้จะมีพื้นที่ระเบียงกว้างกว่าทุก ๆ ห้องในบ้าน และเช่นเดียวกับห้องนอนใหญ่ คือ ผนังฝั่งที่อยู่หน้าบ้านจะเป็นผนังกระจกทั้งหมดเพื่อดึงแสงธรรมชาติเข้าสู่ห้อง



          ระเบียงมีพื้นที่กว้างคล้ายรูปตัว L จากพื้นของชั้นนี้จรดเพดานหลังคาบ้านมีความสูงพอสมควร ทำให้สามารถจัดสวนส่วนตัวบริเวณระเบียงนี้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องลงไปใช้พื้นที่นั่งเล่น Outdoor ที่สวนข้างบ้าน



          หากลองมองจากหน้าบ้านดี ๆ จะเห็นว่า ทุก ๆ ชั้นของบ้านสามารถใส่พื้นที่สีเขียว ความเป็นธรรมชาติเข้ามาได้ทุกชั้นบริเวณระเบียง ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจเดิมของแบรนด์ คือ ให้ธรรมชาติล้อมบ้านนั่นเอง



          ระหว่างห้องนอนที่ 3 และ 4 จะมีห้อง Multipurpose room อยู่ตรงกลาง ซึ่งบ้านหลังนี้ตกแต่งให้ห้องนี้เป็นห้องทำงาน รับแสงธรรมชาติจากกระจกบานใหญ่เต็มบาน และด้วยความที่ห้องนี้อยู่ที่ชั้น 3 ทำให้สามารถเทควิวเมืองและท้องฟ้าได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นอีกห้องหนึ่งที่เหมาะสำหรับทำเป็นห้องทำงานเพราะได้รับแสงธรรมชาติเข้ามาเต็ม ๆ แต่ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนห้องนี้เป็นห้องนอนได้เช่นเดียวกัน



          และห้องนอนสุดท้ายของบ้านมีพื้นที่เท่ากับห้องนอนชั้นล่างที่อยู่ตรงกัน แม้ไม่ได้มีขนาดระเบียงใหญ่เท่าห้องนอนที่ 3 แต่ก็ยังถือว่าสามารถทำพื้นที่นั่งเล่น Semi Outdoor ได้ และยังวางต้นไม้ขนาดเล็ก - กลางได้ ข้อดีของการอยู่ชั้นบนสุด คือ การได้รับลมอย่างเต็มที่กว่าชั้นอื่น ๆ ของบ้าน



          สำหรับพื้นที่พิเศษอีกจุดหนึ่งของบ้าน คือ บริเวณชั้นลอยที่สามารถทำเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้ เช่น พื้นที่นั่งทำงานเล็ก ๆ หรือพื้นที่นั่งเล่นชิลล์ ๆ โดยบริเวณนี้จะมีกระจกที่สามารถเปิดรับแสงได้



          จุดเด่นบริเวณชั้นบนสุดของบ้าน คือ ระเบียงและลม รวมถึงพื้นที่อเนกประสงค์ถึง 2 จุดที่สามารถจัดสรรการใช้งานได้อย่างอิสระ และด้วยขนาดระเบียงที่กว้างของห้องนอนที่ 3 ทำให้สามารถจัดสวนหรือทำเป็นพื้นที่นั่งเล่นใหญ่ ๆ อีกจุดได้สบาย โดยไม่ต้องลงไปใช้ที่ชั้น 1 และทิศทางลมที่สามารถเข้า - ออกบ้านได้อย่างเต็มที่



          และแบบบ้านในฝันที่พาชมจาก SC Asset ที่รวมอยู่ภายใต้แคมเปญ "intimacy is in our nature" ยังประกอบไปด้วย โครงการที่น่าสนใจแบรนด์ THE GENTRY บน 4 ทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ทรงคุณภาพ สามารถที่จะเชื่อมต่อ CBD และ New CBD ได้อย่างสะดวกสบาย อาทิ
◾ The Gentry Cultiver Rama 9
◾ The Gentry เกษตร-นวมินทร์
◾ The Gentry พัฒนาการ 2
◾ The Gentry สุขุมวิท-บางนา



สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://m.scasset.com/Eb2I
หรือ เบอร์โทร : 1749

 

ไอเดียแต่งบ้าน